แมนเนอร์มีมาตั้งแต่สมัยโรมันเรืองอำนาจเรื่อยมาจนถึงยุค แองโกล - แซกซอน ในอังกฤษและแพรหลายไปอย่างกว้างขวางในตอนปลายของสมัยกลาง โดยในแมนเนอร์หนึ่งๆ ประกอบด้วย หมู่บ้านมีปราสาทคฤหาสน์และวังสำหรับขุนนางและกษัตริย์ และมีที่ดินเพื่อการเพาะปลูก ปศุสัตว์ และป่าไม้ การเกษตรถือว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุด และผู้ที่อาศัยในแมนเนอร์ประกอบด้วยชนชั้นขุนนาง ชนชั้นไพร่ ชนชั้นทาส และชนชั้นอื่น
การเพาะปลูกในแมนเนอร์มักใช้วิธีการเพาะปลูกแบบระบบนา 2 ทุ่ง หรือนา 3 ทุ่ง โดยการเพาะปลูกพืชต่างๆ ในทุ่งนาหนึ่งหรือสองทุ่ง และปล่อยที่นาที่เหลือให้ว่างไว้เสมอ เพื่อเป็นการเตรียมไว้เพราะปลูกในปีต่อไป แล้วสลับกันไปเรื่อยๆ สำหรับปีต่อไป
วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจในแมนเนอร์ขึ้นอยู่กับการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพหลักโดยมีการค้าบ้างตามเมืองต่างๆ ส่วนสังคมในแมนเนอร์ขึ้นอยู่กับขนบธรรมเนียมและประเพณีตลอดจนสถานภาพของแต่ละคนที่ถูกกำหนดโดยชั้นของบุคคลที่เขาได้ถือกำเนิดมาในชุมชนนั้น
การเสื่อมสลายของแมนเนอร์เกิดจากเหตุหลายประการ เช่น การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร การฟื้นฟูทางการค้าและอุตสาหกรรม การเกิดโรคระบาดใหญ่ การเรียกร้องค่าจ้างสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงด้านการเกษตร การกั้นรั้วเพื่อเลี้ยงแกะ และการเคลื่อนย้ายของพลเมือง เป็นต้น
ลักษณะทั่วไปของแมนเนอร์
ระบบแมนเนอร์ถ้าจะนับแล้วมีมาแต่สมัยจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจในยุโรป และได้เจริญเติบโตและขยายไปยังที่อื่น ๆ ในเวลาต่อมา เช่นไปยังประเทศอังกฤษในสมัยแองโกล-แซกซอน และสมัยกษัตริย์นอร์แมนในกลางศตวรรษที่ 11 ในระบบแมนเนอร์ถือว่าการเกษตรเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญที่สุด เพราะต้องอาศัยผลิตผลจากการเกษตรเพื่อเป็นอาหารของทุกคนในแมนเนอร์
ผู้ที่อาศัยอยู่ในแมนเนอร์หนึ่ง ๆ มักประกอบด้วย