นักมานุษยวิทยาบางพวกจัดพวกอะบอริจินเป็นมนุษย์สมัยหิน หรือมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งถือกันว่าเป็นพวกที่ต่ำที่สุดของความเป็นมนุษยชาติ เพราะไม่รู้จักการทอผ้า การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์หรือการทำเครื่องปั้นดินเผา นักมนุษยวิทยาบางพวก ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวข้างต้น โดยให้เหตุผลว่า “อะบอริจินี” เป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในทวีปออสเตรเลียมากว่า 4 หมื่นปี มีวัฒนธรรมดีงามและซับซ้อน มีศิลปะสูง มีการพัฒนาทางปรัชญาและศาสนา อาศัยรวมกลุ่มกันอย่างสันติสุข
จวบจน พ.ศ. 2331 อังกฤษเนรเทศเหล่านักโทษมาตั้งถิ่นฐานที่ออสเตรเลีย การรุกรานสู้รบเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อนล้างเผ่าพันธุ์อะบอริจินีจากฝรั่งผิวขาวก็เริ่มขึ้นใหม่ คนส่วนมากมักคํานึงถึงความก้าวหน้าทางวัตถุมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ คือถ้าใครมีการพัฒนาทางโลหะก้าวหน้ามาก ก็ถือว่าเป็นชาติที่เจริญก้าวหน้า ความจริงแล้วพวกอะบอริจินมีวัฒนธรรมที่ดีงามและซับซ้อน มีศิลปะสูง มีการพัฒนาการทางปรัชญาและศาสนา มีวรรณคดีปากที่เล่ากันต่อ ๆ มา แม้ว่าจะไม่มีภาษาเขียน จําเป็นแล้วหรือที่จะต้องมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในเมื่อพวกเขาอยู่กันอย่างสันติสุข
อย่างไรก็ดีตลอดเวลาเกือบ 200 ปีที่ฝรั่งชาวยุโรปเข้ามามีอิทธิพลหรือปกครองออสเตรเลียอยู่ ได้แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าเราจะจัดพวกอะบอริจินีเป็นมนุษย์สมัยหรือพวกใดก็ตาม เขาก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ดีพอสมควร ไม่แตกต่างไปจากคนที่เรียกตนเองว่าอารยชนมากนัก
ชื่อกันว่าชาวอะบอริจินีอยู่ในออสเตรเลียอย่างน้อย 30,000 ปีหรือมากกว่า 40,000 ปี โดยเดินทางมาจากทวีปเอเชีย ตามเส้นทางที่เชื่อมโยงระหว่างทวีปเอเชียและออสเตรเลีย ซึ่งต่อมาได้จมหายไป เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น บางพวกอาจจะเข้ามาโดยแพหรือแคนู จากข้อสันนิษฐานนี้เราจะเห็นได้ว่าพวกเงาะ หรือซาไกที่ยังเหลืออยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย หรือพวกเซมังที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย เป็นพวกเดียวกันกับพวกอะบอริจินี ซึ่งอาจจะมีลักษณะและท่าทางบางอย่างผิดกันไปบ้าง ทั้งนี้ก็เพราะสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งร่างกายจะต้องพัฒนาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินฟ้าอากาศ และอาหาร ตลอดจนระยะเวลาอันยาวนานนับเป็นหมื่นปีมาแล้ว
พวกอะบอริจินีอยู่กันเป็นเผ่าเล็ก ๆ เร่ร่อนอยู่ทั่วประเทศออสเตรเลีย ตอนที่ชาวยุโรปเข้ามาตั้งถิ่นฐานในปี พ.ศ. 2331 นั้น คาดว่ามีชาวอะบอริจินีอยู่ราว ๆ 300,000 คน และมีเผ่าต่าง ๆ อยู่ประมาณ 600 เผ่า ปัจจุบัน (2529-กองบก.ออนไลน์) มีพวกอะบอริจินีราว ๆ 160,000 คน ทั้งนี้ พวกอะบอริจินีถูกฝรั่งที่เข้ามาตั้งรกรากสังหารเป็นจํานวนมาก เช่นเดียวกับพวกอินเดียน ในอเมริกาที่ถูกพวกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานสังหารเสียเป็นจํานวนมากเช่นกัน พวกชาวพื้นเมืองถูกสังหารหมู่ วางยาพิษฆ่าทั้งเผ่า บ้างก็ถูกทําทารุณ เช่น ตัดแขน ตัดขา ตัดหู เช่นเดียวกับผู้ชนะย่อมทํากับผู้แพ้ หรือผู้มีอํานาจทํากับผู้ไม่มีอํานาจ
ทั้งนี้ เพราะชาวยุโรปต้องการครองดินแดนที่เป็นของพวกอะบอริจินี จึงต้องขจัดพวกนี้เสีย
นอกจากนี้ ยังมีเป็นจำนวนไม่น้อยที่ตายเพราะโรคติดต่อที่ฝรั่งนำมา เหตุเหล่านี้ทำให้จำนวนชาวพื้นเมืองลดลงกว่าแต่ก่อนมาก ในบางรัฐเช่นทัสเมเนีย ไม่มีพวกชาวพื้นเมืองเหลืออยู่เลย อะบอริจินีที่มีเลือดแท้ตายในปี พ.ศ. 2419 แม้แต่รัฐวิกตอเรียหรือรัฐนิวเซาธเวลส์ก็มีเหลือไม่กี่คน ส่วนใหญ่อยู่ในมณฑลภาคเหนือ
ชาวยุโรปที่เข้ามาในสมัยนั้น คิดว่าชาวพื้นเมืองไม่ใช่คนแบบชาวยุโรป หรือมีความเป็นมนุษย์ไม่เท่าชาวยุโรป โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตา เช่น ผมหยิก ผิวดำ ขาลีบ ไม่มีเสื้อผ้า (แก้ผ้าตลอดฤดูกาล) ไม่มีสัตว์พาหนะ เฟอร์นิเจอร์ หรือสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตแบบที่มนุษย์เจริญแล้วมี ด้วยเหตุนี้อะบอริจินีจึงถูกฆ่าเหมือนสัตว์ป่า (มากกว่า 150,000 คน)
อาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ศัตรูของชาวพื้นเมืองนอกจากบูมเมอแรงแล้ว ยังมีหอกที่ใช้หินแหลมๆ ผูกปลายไม้หรือใช้ไม้แหลมอีกประการหนึ่ง พวกอะบอริจินีไม่ดุร้ายหรือรวมกำลังต่อสู้กับฝรั่งอย่างแท้จริงเหมือนกับพวกอินเดียนเผ่าต่างๆ ในอเมริกา ที่พยายามต่อต้านพวกที่มาบุกรุกหรือแย่งที่ทำมาหากิน ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพวกอินเดียนมีหัวหน้าเผ่าที่เข้มแข็ง ผิดกับพวกอะบอริจินซึ่งแต่ละเผ่ามีคนไม่มากนัก และอยู่กันอย่างกระจัดกระจายไม่ได้รวมกันเป็นปึกแผ่นที่เข้มแข็ง แม้แต่พวกเมารี (Maori) ในประเทศนิวซีแลนด์ ยังประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับผู้ที่เข้ามาบุกรุกได้ดีกว่าพวกอะบอริจินี